คณะกรรมการลงทุนพบสมาชิก

เรียน  เพื่อนสมาชิกที่เคารพทุกท่าน

                   ก่อนอื่นต้องขอโทษเพื่อนสมาชิกทุกท่านด้วยนะครับ ที่ข้อเขียนของผมครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงทุน แต่เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจกับเพื่อนสมาชิกในประเด็นการพิจารณาทุนการศึกษาของสหกรณ์ฯ ครับ

                   เนื่องจากภายหลังที่สหกรณ์ออมทรัพย์ฯ ได้ประกาศรายชื่อท่านสมาชิกที่ได้รับทุนการศึกษาของบุตรจากสหกรณ์ฯ ก็มีข้อสอบถามเข้ามาพอสมควรว่า ทำไมตนเองจึงไม่ได้รับทุนการศึกษา ทั้งๆ ที่ในปีที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น (ปี 2565) ก็ยังได้รับ แต่ปีนี้กลับไม่ได้รับคณะกรรมการใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณา มีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์เพื่อเอื้อประโยชน์ให้สมาชิกบางกลุ่มหรือไม่ กรรมการไม่เห็นใจสมาชิกฯลฯ และอื่นๆ อีกมากมาย

                   ผมในฐานะของคณะกรรมการผู้พิจารณาทุนการศึกษาของบุตรสมาชิกคนหนึ่ง จึงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจกับสมาชิกและตั้งใจที่จะทำภายหลังจากที่ได้รวบรวมประเด็นข้อสงสัยของเพื่อนสมาชิกให้ครบถ้วน แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผมติดภารกิจบางประการ ประกอบกับต้องจัดเตรียมสัมมนาสมาชิกในประเด็นที่ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยคือ สังคมผู้สูงวัย ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์ได้กำหนดแนวทางไว้ ทำให้การชี้แจงต้องล่าช้าเนิ่นนานมา แต่ก็โชคดีครับที่การประชุมคณะกรรมการดำเนินการเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมาได้แนะนำว่าการสัมมนาของสมาชิกที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่นำเสนอขออนุมัตินั้น ยังขาดรายละเอียดและความเหมาะสมบางประการ ขอให้เลื่อนการจัดออกไปก่อน ช่วงนี้ก็เลยมีเวลาได้มาชี้แจงประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ทุนการศึกษากับเพื่อนสมาชิก

                   ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า “ทุนการศึกษาของบุตรสมาชิก” จะเป็นส่วนหนึ่งของ “กองทุนสวัสดิการสมาชิกและครอบครัว พ.ศ. 2566” นั้นคือ เงินทุนที่จะนำมามอบให้เป็นทุนการศึกษาให้กับบุตรของสมาชิกต้องจัดสรรมาจาก กองทุนสวัสดิการสมาชิก

          แล้วเงินกองทุนสวัสดิการมาจากไหนเหรอครับ คำตอบก็คือ เงินกองทุนสวัสดิการส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 99.99 มาจากการจัดสรรกำไรสุทธิในแต่ละปี ซึ่งกำไรสุทธิก็คือเงินที่จะต้องนำมาจ่ายปันผลให้แก่สมาชิกนั่นเอง เราจะเห็นได้ว่ากำไรสุทธิ คือเงินของสมาชิกผู้ถือหุ้นทุกคนที่จะได้รับตามสัดส่วนการถือหุ้น ดังนั้น ถ้าในรอบปีที่ผ่านมาเราใช้เงินกองทุนสวัสดิการไปมากเท่าไร ก็ต้องตัดเงินกำไรสุทธิที่จะจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมาสมทบกองทุนสวัสดิการสมาชิกมากขึ้น เงินปันผลของสมาชิกต่อหุ้นจึงต้องลดลง ภาระหน้าที่ของกรรมการคือ ต้องระมัดระวังใช้จ่ายเงินทุนสวัสดิการให้สมเหตุสมผล รักษาความสมดุลของระดับเงินปันผลของสมาชิกทุกท่านให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ต่ำจนเกินควร

          แล้วเงินกองทุนสวัสดิการใช้จ่ายอะไรได้บ้าง หลักคิดในการจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกก็คือ สวัสดิการที่สหกรณ์จะจัดขึ้นนั้น ต้องเป็นสวัสดิการที่สมาชิก“ทุกคนมีสิทธิที่จะได้ใช้บริการ เพราะเงินสวัสดิการเป็นของสมาชิก“ทุกคน” จึงได้มีการกำหนดระเบียบขึ้นมาเป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติคือ “ระเบียบว่าด้วยทุนสวัสดิการสมาชิกและครอบครัวปี 2566” โดยกำหนดไว้ว่า ทุนสวัสดิการให้จ่ายได้ดังต่อไปนี้

  1. สวัสดิการเพื่อสงเคราะห์สมาชิกและครอบครัวที่ถึงแก่กรรม (เป็นไปตามระเบียบฯ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท)
  2. สวัสดิการเพื่อจ่ายเงินบำเหน็จสมาชิก (รับเมื่ออายุครบ 60 ปีหรือเกษียณอายุราชการ)
  3. สวัสดิการเพื่อสงเคราะห์สมาชิกผู้ประสบภัยพิบัติ
  4. สวัสดิการเพื่อส่งเสริมการศึกษาบุตรสมาชิก
  5. สวัสดิการอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการดำเนินการเห็นสมควร เช่น การช่วยเหลือสมาชิกในเรื่องค่าจัดการศพ ค่าพวงหรีด ฯลฯ

จะเห็นได้ว่าสวัสดิการที่จัดขึ้นตามข้อ 1, 2, 3 และข้อ 5 เป็นสวัสดิการที่สมาชิก“ทุกคน”มีสิทธิได้ใช้ประโยชน์

แต่สวัสดิการส่งเสริมการศึกษาบุตร สมาชิกที่มีบุตรกำลังศึกษาอยู่เท่านั้นที่มีสิทธิใช้ประโยชน์ แต่ สมาชิกที่ยังเป็นโสด สมาชิกที่สมรสแล้วแต่ไม่มีบุตรและสมาชิกที่บุตรจบการศึกษาเล่าเรียนแล้ว จะไม่มีสิทธิได้ใช้ประโยชน์ การกำหนดวงเงินเพื่อมอบเป็นทุนการศึกษาบุตรของสมาชิก จึงต้องกำหนดให้เหมาะสมกับรายได้ของสหกรณ์ เพื่อมิให้กระทบต่อเงินปันผลของสมาชิกในภาพรวม และมุ่งเน้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญ

สหกรณ์ฯ จึงกำหนดแนวทางปฏิบัติ โดยคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ ผู้มีหน้าที่จัดสรรทุนจึง

ต้องขออนุมัติวงเงินที่จะจัดสรรทุน พร้อมกำหนดจำนวนทุนที่จะมอบให้แก่บุตรของสมาชิก ทุกระดับชั้นการศึกษา จากคณะกรรมการดำเนินการ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว จึงออกประกาศสหกรณ์ฯ แจ้งสมาชิกให้ยื่นขอรับทุนตามแบบที่กำหนด จากนั้นจึงนำมาให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด ในระเบียบว่าด้วยการใช้ทุนสวัสดิการสมาชิกและครอบครัวเพื่อส่งเสริมการศึกษาบุตรของสมาชิกปี 2566 แล้วเรียงลำดับคะแนนจากมากที่สุดลงมาตามลำดับ และมอบทุนการศึกษาตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ เรียงตามลำดับลงมาจนครบถ้วนตามวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการดำเนินการ ซึ่งในการพิจารณามอบทุนการศึกษาบุตรประจำปี 2566 ที่ผ่านมาคณะกรรมการก็ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และขอเรียนยืนยันว่า เราปฏิบัติงานโดยยึดมั่นในผลประโยชน์ของสมาชิก“ทุกคน”เป็นหลัก ไม่มีการแก้ไขระเบียบหรือใช้มติใดๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับสมาชิกรายหนึ่ง รายใด อย่างแน่นอน

                   ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เพื่อนสมาชิกคงเข้าใจการทำงานของคณะกรรมการได้ชัดเจนมากขึ้นและท่านสามารถขอดูเอกสาร รายละเอียด การทำงานทุกขั้นตอนได้ที่สหกรณ์ตลอดเวลาครับ

                                                                 ผู้แทนคณะกรรมการประชาสัมพันธ์

(15 มิถุนายน 2566 : 1048 )

          หวัดดีครับ เพื่อนๆสมาชิกสหกรณ์ตั้งแต่สถานการณ์ Covid ระบาด เลยไม่ค่อยได้มีโอกาส สื่อสารกันเลยครับ เพราะทุกท่านก็จะมีความระมัดระวัง ป้องกันตัวเอง ไม่อยากเดินทางไปไหน ไม่มีเวลาที่จะสนใจภาระรอบข้างมากนัก ประกอบกับผมเองก็ระมัดระวังตนเองเช่นกัน แต่ก็ดีครับ ได้ใช้เวลาว่างติดตามข่าวสาร ภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยผันผวนมากที่สำคัญ คือ แนวโน้มภาวะดอกเบี้ยมีทิศทางที่สูงขึ้น ทำให้กรรมการสหกรณ์ฯเราติดตาม สถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบัน สถานการณ์ต่างๆคลี่คลายไปมากแล้ว Covid กลายเป็นโรคประจำถิ่น ความผันผวนของดอกเบี้ยลดลง แม้จะยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น สหกรณ์ฯเราเห็นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ควรจะพิจารณาปรับโครงสร้างเงินทุนของสหกรณ์ฯ โดยการเพิ่มวงเงินรับฝาก เพิ่มมากขึ้น ผมจึงขอถือโอกาสนี้สื่อสารกับเพื่อนสมาชิกที่เคารพอีกช่องทางหนึ่ง เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

          ในการบริหารสหกรณ์ออมทรัพย์นั้น กรรมการดำเนินการต้องเข้าใจโครงสร้างทางการเงิน หรือ ทุนของสหกรณ์ แหล่งที่มาของเงินทุน

          ทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ

                   1 เงินหุ้น หรือ ทุนเรือนหุ้นของสมาชิก

                   2 เงินรับฝากจากสมาชิก

          เงินของสหกรณ์ (ทุน) = ทุนเรือนหุ้นของสมาชิก + เงินรับฝากจากสมาชิก

เมื่อมีเงินทุนสหกรณ์ฯจึงทำการให้สินเชื่อแก่สมาชิก กู้ยืมเพื่อแก้ปัญหาทางการเงิน เปิดโอกาสให้สมาชิกสมารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น หากสมาชิกมีความต้องการใช้เงินสูงกว่าที่สหกรณ์ฯมี กรรมการดำเนินการก็จะจัดหาแหล่งเงินทุนอื่นๆ โดยการกู้ยืมเพื่อนำเงินมาบริการสมาชิก แต่หากความต้องการใช้บริการทางการเงินมีน้อยกว่าทุนที่สหกรณ์ฯมี สหกรณ์ฯย่อมมีเงินทุนเหลืออยู่ซึ่งคณะกรรมการดำเนินการจำเป็นต้องบริหารเงินทุนส่วนเกิน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสมาชิกให้มากที่สุดโดยการนำเงินส่วนเกินนั้นไปลงทุนในหลักทรัพย์อื่นๆ ตามกรอบระเบียบที่กฎหมายกำหนด

          ปัจจัยสำคัญในการบริหารเงินขอสหกรณ์ออมทรัพย์ คือ

                   1 ต้นทุนทางการเงินของสหกรณ์ฯ

                   2 โครงสร้างทางการเงินของสหกรณ์ฯ

  1. ต้นทุนทางการเงินของสหกรณ์ฯ คือ ค่าใช้จ่ายที่สหกรณ์ฯต้องจ่ายให้แก่แหล่งเงินทุนอันได้แก่ เงินปันผลของทุนเรือนหุ้นของสมาชิก และอัตราดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินรับฝากจากสมาชิก ซึ่งนับว่ามีส่วนสำคัญต่อการบริหารมากที่สุด เพราะหากกำหนดอัตราผลตอบแทนจ่ายแก่แหล่งเงินทุนต่ำเกินไปเงินทุนก็จะไหลออกจากสหกรณ์ฯ ทำให้สหกรณ์ฯไม่มีเงินเพียงพอที่จะบริการสมาชิก แต่หากกำหนดอัตราผลตอบแทนสูงเกินไป เงินทุนจะไหลเข้าสหกรณ์ฯมากเกินกว่าความต้องใช้ของสมาชิกทำให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินสูง หรือมีเงินส่วนเกินที่ทำให้ภาวะอัตราดอกเบี้ยจ่ายมีมากขึ้น ปันผลลดลง

          คณะกรรมการดำเนินการจึงต้องมีการพิจารณา กำหนดอัตราดอกเบี้ยจ่ายและเงินปันผลให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพคล่องของทุนดำเนินการ อัตราดอกเบี้ยธนาคารและแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต

  1. โครงสร้างทางการเงินของสหกรณ์ฯ หมายถึง องค์ประกอบหรือสัดส่วนของเงินทุนที่สหกรณ์ฯจัดหามาใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งจะประกอบด้วยเงินทุนเรือนหุ้นของสมาชิก เงินรับฝากจากสมาชิก เงินทุนสำรอง เงินทุนสวัสดิการและเงินทุนอื่นๆ ของสหกรณ์ฯรวมถึงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินแต่อย่างไรก็ตามเงินทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์ กว่าร้อยละ 90 จะเป็นเงินทุนจากทุนเรือนหุ้นและเงินรับฝากจากสมาชิก

          กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้แนะนำโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมของสหกรณ์ออมทรัพย์ คือ อัตราส่วนของเงินทุนเรือนหุ้นที่เหมาะสมคือ ประมาณร้อยละ 20 – 30 ของเงินทุนสหกรณ์ฯ ในขณะที่อัตราส่วนเงินรับฝากควรจะเป็นร้อยละ 60 – 70 ของเงินทุนสหกรณ์ฯ

          ปัจจุบันสถานะทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์กรมประมง จำกัด อยู่ในสภาวะที่มีสภาพคล่องสูงมาก โดยในปี 2560 สหกรณ์ฯมี เงินทุน(หุ้น+เงินรับฝากจากสมาชิก) เท่ากับ 2,642 ล้านบาท ในขณะที่มีสมาชิกกู้เงินเพียง 1,850 ล้านบาท ทำให้มีสภาพคล่องล้นระบบอยู่ 790 ล้านบาทที่สหกรณ์ฯจะต้องดูแล ในขณะที่ในปี 2565 เงินทุนสหกรณ์ฯมีสูงกว่า 3,164 ล้านบาท แต่สมาชิกกู้เงินเพียง 1,491 ล้านบาท และมีเงินส่วนเกินถึง 1,600 กว่าล้านบาท คณะกรรมการดำเนินการจึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรการบางอย่างเพื่อป้องกันมิให้มีสภาพคล่องทางการเงินล้นระบบมากเกินควร อันจะส่งผลกระทบต่อเงินปันผล โดยการลดการสะสมหุ้นของสมาชิกที่มีหุ้นสะสมมาก จึงอาจทำให้เพื่อนๆสมาชิกที่มีหุ้นสะสมสูง จะสงสัยบ้างว่าทำไมสหกรณ์ฯจึงไม่หักเงินค่าหุ้นจากท่านหือหักเงินลดลง ในขณะเดียวกันคณะกรรมการดำเนินการได้พิจารณาโครงสร้างทางการเงินของสหกรณ์ฯพบว่าอัตราส่วนของเงินรับฝากต่อทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ฯในปี 2562 เท่ากับ 1 : 1.2

          คือมีเงินรับฝากเพียง 1,312 ล้านบาท แต่มีหุ้นสูงถึง 1,614 ล้านบาท และในปี 2565 สหกรณ์ฯ มีเงินฝาก 1,378 ล้านบาท แต่มีหุ้นถึง 1,785 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนที่เหมาะสมตามคำแนะนำของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ คือ เงินรับฝากควรจะสูงเป็น 3 เท่าของทุนเรือนหุ้น

          คณะกรรมการดำเนินการได้พิจารณาเห็นว่าเพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกได้ออมเงินทดแทนการออมหุ้นจึงได้พิจารณาเพิ่มวงเงินรับฝากจากสมาชิก โดยกำหนดให้สมาชิกสามารถฝากออมทรัพย์ได้อย่างไม่จำกัด จำนวนเงินฝาก และให้สมาชิกสามารถฝากออมทรัพย์พิเศษได้ในวงเงิน 300,000 บาท/เดือน

          การเพิ่มเงินรับฝากของสหกรณ์ฯจึงไม่ใช่การระดมเงินฝากแต่เป็นการเพิ่มช่องทางการออมให้กับสมาชิกอันเนื่องจากถูกจำกัดการออมหุ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการปรับโครงสร้างทางการเงินของสหกรณ์ฯให้เข้าใกล้มาตรฐานที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ฯแนะนำอีกทางหนึ่งด้วย

 

(07 กุมภาพันธ์ 2566 : 597 )

        สวัสดีครับ เพื่อนๆสมาชิกสหกรณ์ฯทุกท่านช่วงนี้ได้ดำเนินการปิดบัญชีของสหกรณ์ฯเรียบร้อยแล้วผมจึงสรุปภาพรวมของการลงทุน ในปี 2565 ของสหกรณ์ฯ และประมาณการวงเงินที่จะลงทุนในปี 2566 เพื่อเพื่อนสมาชิกจะได้ทราบในเบื้องต้นครับ

        ในปี 2565 สหกรณ์ฯมีรายได้จากการลงทุนและผลตอบแทนจากการฝากเงินกับ สหกรณ์อื่นประมาณ 62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 4 ล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 38.61 ของรายได้ของสหกรณ์ฯ ซึ่งในปี 2566 คาดว่ารายได้ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 40 ของรายได้สหกรณ์ฯ

        กรอบการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์กรมประมง จำกัด

        ในปี 2566 สหกรณ์ฯยังคงมุ่งมั่นเน้นและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเงินลงทุนมากกว่าผลตอบแทนในระดับสูง โดยยึดหลักปฏิบัติตามข้อกฎหมายระเบียบต่างๆ อย่างเคร่งครัด

        ในปี 2566 การลงทุนของสหกรณ์ปรับเปลี่ยนจากกรอบเดิมเล็กน้อย โดยเน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น ลดการซื้อหุ้นในชุมนุมสหกรณ์และหุ้นกู้ลดลง โดยปรับเป็นการฝากในสหกรณ์อื่นเพิ่มมากขึ้น ดังนี้

        1 จัดซื้อพัฒธบัตรรัฐบาลร้อยละ 15  ของเงินลงทุน เป็นวงเงินประมาณ 54 ล้านบาท

        2 ฝากในชุมนุมสหกรณ์และสหกรณ์อื่นร้อยละ 40 ของเงินลงทุนเป็นวงเงินประมาณ 143 ล้านบาท

        3 ซื้อหุ้นชุมนุมสหกรณ์และ/หรือหุ้นกู้ร้อยละ 45 ของเงินลงทุนเป็นวงเงินประมาณ 160 ล้านบาท

        ประมาณการวงเงินลงทุนในปี 2566

                1 เงินค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นมา                                                50 ล้านบาท

                2 เงินรับฝากที่เพิ่มขึ้น                                                   20 ล้านบาท

                3 หุ้นกู้และเงินฝากสหกรณ์อื่นที่ครบกำหนด                   217 ล้านบาท

                4.ประมาณการเงินให้กู้ยืมแก่สมาชิกเพิ่มขึ้น/ลดลง          70 ล้านบาท

                รวม ประมาณการเงินลงทุนในปี 2566 ทั้งสิ้น

                                                 =(50+20+217) - (-70) = 357 ล้านบาท

 

(03 ตุลาคม 2565 : 445 )

        สวัสดีครับ พี่ๆเพื่อนๆ สมาชิกที่เคารพ ในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านสมาชิกที่เคารพทุกท่านคงคุ้นเคยกับธุรกรรมการลงทุนของสหกรณ์ฯ กันมาบ้างพอสมควรแล้ว แต่อย่างไรก็ตามจากการพูดคุยกับสมาชิกหลายๆ ท่านก็พอสรุปได้ว่าเพื่อนๆ สมาชิกบางส่วนยังไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนของสหกรณ์ฯ มากนักจึงมักจะมีคำถามอยู่เสมอ ว่าทำไมต้องลงทุน ลงทุนในหุ้นมันเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า ถูกกฎหมายหรือเปล่า ผมในฐานะประธานการลงทุนเห็นว่าควรต้องเปิดคอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสื่อออนไลน์ของสหกรณ์ฯ เพื่อให้สมาชิกใช้เป็นช่องทางในการติดต่อ สอบถามข้อสงสัยต่างๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน และใช้เป็นช่องทางในการรายงานให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นสมาชิกทุกท่านได้ทราบความเคลื่อนไหวของกิจกรรมการลงทุนของสหกรณ์ฯรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นนับจากนี้เป็นต้นไป เรียนเชิญทุกท่านติดตามได้นะครับ หากมีข้อสงสัยสอบถาม กรุณาติดต่อตามช่องทางดังนี้

          เว็บไซต์      : fishcorp.in.th

          เฟสบุ๊ค        : facebook.com/DOFFishcorp

          เพจเฟสบุ๊ค  : สหกรณ์ออมทรัพย์กรมประมง จำกัด

 

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง